เทคนิคขับรถขึ้นเขา-ลงเขาให้ปลอดภัย


 

1.ตรวจเช็คสภาพรถและเตรียมตัวให้พร้อม 

   สิ่งสำคัญที่สุดอันดับแรกคือ “การเตรียมตัวให้พร้อมทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง” เตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเพื่อจะได้ท่องเที่ยวได้อย่างสนุกสนานและอีกอย่าง

ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “การตรวจเช็คสภาพรถยนต์ของคุณให้พร้อมก่อนออกเดินทาง” โดยสามารถเช็คเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง เช่น สภาพยางรถยนต์ ลมยาง ระบบของเหลวต่างๆ น้ำมันเครื่อง

ระบบปรับอากาศ ที่ปัดน้ำฝน และ แบตเตอรี่…..

  • ยางรถยนต์ ตรวจสอบสภาพของยางรถยนต์ว่าดอกยางลึกตามมาตรฐานหรือไม่ โดยจะต้องไม่ต่ำกว่า 2 มม. ลมยางควรเติมให้เหมาะกับขนาดรถแต่ละประเภท สามารถดูลมยางที่เหมาะสำหรับ

รถคุณสังเกตได้จากสติกเกอร์ที่ขอบประตูฝั่งคนขับ หรือในคู่มือประจำรถ 

  • ระบบของเหลว การเช็คระดับน้ำมันเครื่องด้วยตนเองสามารถทำได้โดยดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องขึ้นมาดูตรงปลายก้านจะมีเครื่องหมาย "F" (หรือ Max) และ "L" (หรือ Min) 

ซึ่งระดับที่เหมาะสมต้องอยู่ระหว่างขีดทั้งสองนี้ หากเหลืออยู่ในระดับ Min แสดงว่าน้ำมันเครื่องหาย ควรรีบนำรถเข้าไปตรวจเช็คที่ศูนย์บริการเพื่อหาสาเหตุโดยทันที

  • ระบบปรับอากาศ หลังจากสตารท์เครื่องเสร็จให้เปิดแอร์ให้ได้อุณหภูมิตามที่ต้องการลองเอามืออังดูว่ามีความเย็นเพียงพอหรือไม่ หากลมเย็นไม่ออกมาเท่าที่ควรอาจจะสันนิษฐานได้ว่า 

น้ำยาแอร์อาจจะพร่องควรรีบเติม 

  • ที่ปัดน้ำฝน ตรวจเช็คความสะอาดของที่ปัดน้ำฝนว่ามีเศษฝุ่นหรือสิ่งสกปรกติดอยู่หรือไม่ หากมีนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดทำความสะอาดเพื่อให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 

เช็คสภาพยางปัดน้ำฝน หากเสื่อมสภาพในขณะปัดที่ปัดน้ำฝนจะเกิดเสียงดังขึ้น ควรรีบเปลี่ยนก่อนที่กระจกหน้ารถจะเป็นรอย  

  •  แบตเตอรี่ ทำได้โดยเปิดฝากระโปรงรถขึ้น ตรวจสอบขั้วแบตหากมีสิ่งสกปรกหรือคราบขี้เกลือสีขาว,คราบผงแป้งสีฟ้าให้รีบทำความสะอาดทั้งขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ทันที หรือหากรถส่งสัญญาณเตือน

เช่นรถสตารท์ติดยากกว่าปกติ ไฟหน้าหรี่ลงแสงสว่างน้อยลง แสดงว่าแบตเตอรี่ใกล้จะหมด โดยปกติแบตเตอรี่ควรเปลี่ยนทุกๆ 2 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับการใช้งาน  

 

2.ขับรถขึ้นเขา-ลงเขาควรใช้เกียร์ต่ำ

   ควรใช้เกียร์ต่ำในการขับ-ขึ้นลงเขาเพราะจะทำให้ช่วยควบคุมความเร็วของรถได้ดีขึ้น  

  • รถเกียร์ออโต้ >> ใช้เกียร์ L, D, S ตามระดับของความชันของถนน 

ทางชันน้อยควรใช้เกียร์ D  / ทางชันปานกลาง ควรใช้เกียร์ S / ทางชันมาก ใช้เกียร์ L 

  • รถเกียร์ธรรมดา >> ใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 ถ้ารู้สึกว่าความเร็วรถเริ่มตกเมื่อขับขึ้นทางที่มีความชันมาก ลดเกียร์ลงมา 1 ระดับ เพื่อให้สามารถขับผ่านทางชันนั้นไปได้แล้วจึงเปลี่ยนมาเข้าเกียร์ปกติ

 

3. ให้สัญญาณเมื่อเข้าสู่ทางโค้ง ทางเลี้ยว  

     ทำได้โดยการบีบแตรหรือให้สัญญาณไฟ เพื่อให้รถที่ขับสวนทางมาระมัดระวังมากขึ้น 

 

4. แตะเบรกเป็นระยะ อย่าเหยียบเบรกค้าง 

  • ในขณะขึ้นเขา แตะเบรกพร้อมกับเร่งเครื่องให้สม่ำเสมอ หากเร่งๆ หยุดๆ รถอาจจะเสียการทรงตัวและไหลลงมาได้ และให้รอบเครื่องอยู่ที่ประมาณ 2,500 - 3,000 รอบ อย่าให้เกิน 4,000 รอบโดยเด็ดขาด 
  • ในขณะลงเขา  ขับโดยใช้เกียร์ต่ำ จะช่วยควบคุมความเร็วของรถให้เสถียร ป้องกันรถไหลได้ ที่สำคัญห้ามใส่เกียร์ว่าง N" โดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้รถเสียการควบคุมและไหลลงเขาไปเรื่อยๆ และ

แตะเบรกเป็นระยะ อย่าเหยียบเบรกค้างไว้นาน เพราะอาจจะทำให้ผ้าเบรกไหม้ได้ 

 

5.อย่าแซงทางโค้งหรือเส้นทึบ 

     การขับแซงบริเวณทางโค้งเป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก เพราะเราอาจจะไม่สามารถเห็นรถฝั่งตรงข้ามที่กำลังสวนมา 

 

      การขับรถขึ้นเขา-ลงเขาไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่หากคนขับไม่มีทักษะและไม่รู้เทคนิคการขับขี่ที่ถูกต้องอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและเพื่อนร่วมทางได้ หากช่วงหน้าหนาวนี้ใครมีแพลนเดินทาง

ท่องเที่ยวขับรถขึ้นเขา-ลงเขา นำทริคของอีซี่ ฟิตไปใช้ได้เลย…นอกจากจะมีเทคนิคดีๆแล้วสิ่งที่สามารถทำได้เบื้องต้นเลยก็คือ “การตรวจเช็คสภาพรถ” ให้พร้อมก่อนออกเดินทางเพื่อให้คุณไม่ต้องมากังวล

กับปัญหาของรถยนต์ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างทางได้…..เปลี่ยนยางรถยนต์กับอีซี่ ฟิต ครบ 4 เส้น  ฟรีค่าบริการ ตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ เติมลมไนโตรเจน และบริการ “ตรวจเช็คสภาพรถฟรี 30 รายการ” เช่น 

ระบบเบรก ระบบช่วงล่าง ระบบปรับอากาศ ระบบไฟฟ้า และ ระบบของเหลว ที่สำคัญ ดูแลรถคุณถึงที่บ้าน ไม่ต้องออกมาเดี๋ยวเราไปหาคุณเอง….. 

 

🏠*ให้บริการเฉพาะกทม. ปริมณฑล ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง

📲 คลิกเพื่อแอดไลน์

📞โทร. 090-956-5566