1. เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินให้พร้อม
2. ปิดแอร์และเปิดหน้าต่างไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากพัดลมแอร์จะสามารถพัดน้ำที่ท่วมขังด้านนอกรถเข้าไปในห้องเครื่องเสี่ยงทำให้เครื่องยนต์ดับกลางถนนได้
3. ประเมินความลึกของน้ำ ระดับน้ำไม่ควรเกินครึ่งล้อ หรือประมาณ 40 ซม.และไม่ควรให้รถแช่อยู่ในน้ำเกิน 30 นาทีเพราะเมื่อน้ำท่วมสูงจะทำให้เราไม่เห็นสิ่งกัดขวางที่อยู่ด้านหน้ารถอาจจะ
ส่งผลกับระบบช่วงล่างได้และยังเกิดความเสี่ยงที่น้ำจะเข้ามาภายในเครื่องทำให้ระบบไฟฟ้าภายในเสียหาย
❌ ไม่ควรฝืนขับต่อ แนะนำควรจอดไว้รอจนกว่าน้ำจะลดระดับลง
4. ใช้ความเร็วต่ำ ขับต่อเนื่องไม่ควรหยุดหรือจอดแช่ในน้ำ แนะนำควรใช้ความเร็วประมาณ 60-80 กม./ชม. ถ้าเราขับรถในความเร็วสูงขณะน้ำท่วม แรงประทะจากรถที่สวนมา
จะทำให้คลื่นน้ำใต้ท้องรถสูงขื้นและอาจจะทำให้น้ำพัดเข้ามาภายในห้องเครื่องและจะทำให้ระบบต่างๆภายในรถเสียหายได้
1. ระดับน้ำ 5-10 เซนติเมตร
ระดับน้ำแบบปกติ ไม่มีผลอะไรต่อการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถขับผ่านไปได้
2. ระดับน้ำ 10-20 เซนติเมตร
น้ำท่วมระดับนี้ยังคงขับผ่านได้สบาย ๆ โดยไม่มีผลต่อเครื่องยนต์แต่เวลาขับรถสวนกันอาจจะเกิดคลื่นน้ำและได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมใต้ท้องรถเป็นบาง
3. ระดับน้ำ 20-40 เซนติเมตร
ระดับน้ำที่ท่วมสูงประมาณ 3 ใน 4 ของล้อรถ หากเป็นรถเก๋งไฟฟ้าขนาดเล็กเร็มเสี่ยงที่น้ำจะเข้ามาภายในตัวรถทำให้เบาะหรือพรมเปียกแฉะได้
4. ระดับน้ำ 40-60 เซนติเมตร
ระดับนี้เป็นอันตรายต่อรถเก๋งทุกประเภททั้งขนาดเล็ก-ใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด ส่วนรถกระบะหรือรถปิกอัพยังสามารถขับได้
5. ระดับน้ำ 60-80 เซนติเมตร
ระดับน้ำที่อันตรายกับรถยนต์ทุกประเภท ทั้งรถเก๋ง และ รถกระบะ มือใหม่หัดขับ หรือขับรถยังไม่ชำนาญแนะนำไม่ควรขับรถลุยน้ำในระดับนี้โดยเด็ดขาด
เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อตนเองและรถของคุณได้
6. ระดับน้ำ 80 เซนติเมตรขึ้นไป
ถือเป็นระดับที่สูงที่สุดที่รถยนต์จะขับลุยน้ำท่วมได้แล้ว เพราะมีความอันตรายมาก แนะนำเดินทางด้วยวิธีอื่นๆแทน หรือหากจำเป็นต้องขับลุยน้ำ ต้องขับอย่างต่อเนื่อง
หลีกเลี่ยงการหยุดรถหรือแช่น้ำไว้เกิน 30 นาทีเพราะมีความเสี่ยงเครื่องยนต์อาจเสียหายได้
แนะนำการดูแลรถไฟฟ้าหลังขับรถลุยน้ำท่วม!!
1.ตรวจสอบห้องโดยสาร เบาะ พรมในรถ ว่ามีโดนน้ำ หรือมีน้ำขังอยู่หรือไม่ ถ้ามีให้รีบเช็ด ทำความสะอาดหรือดูดน้ำออก หลังจากนั้นนำไปตากแดดแล้วค่อยนำกลับมาใช้งานใหม่
ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบน้ำขังบริเวณใต้เบาะคนขับเพราะเป็นตำแหน่งที่ควบคุมถุงลมนิรภัย
2.ตรวจสอบระบบเบรกและช่วงล่าง เมื่อขับขี่รถในขณะน้ำท่วมขังน้ำที่พัดกระเด็นเข้าต้ท้องรถอาจจะทำให้อุปกรณ์ช่วงล่างเกิดสนิมและจะส่งผลต่อประสิทธิภาพและการทำงานของรถได้
ระบบเบรก ความชื้นจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเบรกลดลง ดังนั้นให้เราทดสอบเบรกโดยการเหยียบเบา ๆ หลาย ๆ ครั้งเพื่อให้ผ้าเบรกเสียดสีกับจานเบรกจนเกิดความร้อนจะช่วยไล่
ความชื้นออกและขับขี่ด้วยความเร็วต่ำจนกว่าเบรกจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ
3.ตรวจสอบแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า หากเราขับลุยน้ำลึกและแช่น้ำนานจนเกินไปอาจจะสร้างความเสียหายแก่ระบบไฟฟ้าภายในรถได้ เช่น ฟิวส์หรือ กล่อง ECU (Electronic Control Unit)
ว่าเปียกน้ำหรืออยู่ในสภาพปกติหรือไม่ หากผิดปกติ แนะนำให้ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกแล้วรอช่างมาตรวจสอบ
4.ตรวจสอบระบบปรับอากาศ หลังจากขับรถลุยน้ำท่วมจะเกิดความชื้นขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดกลิ่นอับและกลิ่นไม่พึงประสงค์อื่นๆเข้ามาผ่านระบบปรับอากาศ
ดังนั้นควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อล้างแอร์รถยนต์ พร้อมอบโอโซนฆ่าเชื้อโรค เพื่อลดกลิ่นอับและยังทำให้อากาศภายในห้องโดยสารสะอาดขึ้นด้วย
การดูแลรถยนต์ไฟฟ้าหลังจากลุยน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรรีบดำเนินการตรวจเช็คระบบต่างทันที หรือ ภายใน 1-2 วัน และต้องทำด้วยความระมัดระวังไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้
ระบบต่างๆภายในรถเสียหายมากกว่าเดิมได้ หากไม่สามารถเช็คสภาพรถได้ด้วยตนเองแนะนำนำรถไปตรวจสภาพกับช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ช่างตรวจสอบและแก้ไขได้อย่างทันเวลาเพื่อ
เพิ่มความปลอดภัยให้กับรถและผู้ใช้รถและที่สำคัญช่วยยืดอายุของรถยนต์ไฟฟ้าของคุณให้ยาวนานขึ้นได้อีกด้วย…
เมื่อเปลี่ยนยางรถไฟฟ้า 4 เส้น กับ อีซี่ ฟิต รับฟรี!!
🏠 *ให้บริการเฉพาะกทม. ปริมณฑล ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง
✅สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
📞โทร. 090-956-5566